简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
ต้นกำเนิดของ "กราฟแท่งเทียน" เครื่องมือเทรดยอดฮิตที่มีอายุกว่า 300 ปี
บทคัดย่อ:บทความนี้นำเสนอเรื่องราวต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แพร่หลายในหมู่นักลงทุน โดยมีจุดเริ่มต้นในยุคเอโดะของญี่ปุ่นจากพ่อค้าข้าวชื่อ โฮนมะ มูเนฮิสะ ผู้คิดค้นรูปแบบการบันทึกราคาผ่าน “แท่งเทียน” เพื่อสะท้อนอารมณ์ตลาดผ่านข้อมูลราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากการอธิบายโครงสร้างของแท่งเทียนแล้ว บทความยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อด้านจิตวิทยาตลาดของโฮนมะ และการแพร่หลายของเครื่องมือนี้สู่โลกตะวันตกในยุค 1980s ผ่านงานเขียนของ Steve Nison สรุปได้ว่า การเข้าใจแท่งเทียนอย่างลึกซึ้งไม่เพียงช่วยในการวิเคราะห์กราฟ แต่ยังเปิดเผยเบื้องหลังจิตวิทยาและเจตนาของผู้เล่นในตลาดอีกด้วย

กราฟแท่งเทียน หรือ Candlestick Chart คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนและนักเทรดทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย ด้วยรูปแบบที่ดูเข้าใจง่าย และให้ข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วนในแท่งเดียว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า เครื่องมือนี้มีจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ และมีอายุมากกว่า 300 ปี บทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปดู “ต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียน” พร้อมเปิดเรื่องราวของชายผู้เริ่มต้นทั้งหมด
กำเนิดกราฟแท่งเทียน: จากตลาดข้าวสู่ตลาดการเงิน
ย้อนกลับไปในช่วง ยุคเอโดะ (ราวปี ค.ศ. 1700) ที่ประเทศญี่ปุ่น มีพ่อค้าข้าวชาวเมืองซากาตะชื่อว่า โฮนมะ มูเนฮิสะ (Munehisa Homma) ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซามูไรแห่งตลาด” หรือแม้กระทั่ง “เทพเจ้าการเทรด” ในสายตาของนักเก็งกำไรยุคใหม่

ในยุคนั้น การค้าข้าวเริ่มมีความซับซ้อน พ่อค้าไม่ได้ซื้อขายข้าวกันเฉพาะทางกายภาพ แต่เริ่มมีการใช้ “ใบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หรือที่ใกล้เคียงกับ Futures Contract ในปัจจุบัน โฮนมะสังเกตว่า ราคาข้าวนั้นเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้คน เขาจึงเริ่มจดบันทึกราคาข้าวทุกวัน และสร้างเครื่องมือที่สามารถบอกทิศทางราคาได้
โครงสร้างของกราฟแท่งเทียน
สิ่งที่โฮนมะสร้างขึ้นคือ “รูปแท่ง” ที่บันทึกข้อมูล ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High), และราคาต่ำสุด (Low) ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน เราเรียกว่า “แท่งเทียน” (Candlestick)

ขอบคุณรูปจาก Investopedia
โดยทั่วไป แท่งเทียนจะแบ่งออกเป็น:
- ตัวแท่ง (Body): แสดงระยะห่างระหว่างราคาเปิดและปิด
- ไส้เทียน (Wick หรือ Shadow): แสดงจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา
- สีของแท่ง: บอกว่าเป็นวันขาขึ้น (มักใช้สีเขียว) หรือวันขาลง (มักใช้สีแดง)
แท่งเทียน 1 แท่ง จึงเป็นเหมือน “ประวัติศาสตร์ย่อส่วนของตลาด” ในช่วงเวลานั้น

ขอบคุณรูปจาก Investopedia
จิตวิทยาตลาดในแท่งเทียน
โฮนมะเชื่อว่า “ตลาดมีจิตใจ” และอารมณ์ของนักลงทุนคือแรงผลักดันสำคัญของราคาสินทรัพย์ ดังนั้นแต่ละแท่งเทียนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อมูลราคา แต่เป็น ตัวแทนของพฤติกรรมและจิตวิทยาของตลาด
ตัวอย่างเช่น:
- แท่งเทียนยาวสีเขียว: แสดงถึงความมั่นใจของผู้ซื้อ (แรงซื้อสูง)
- Doji: ราคาเปิดและปิดใกล้กัน แสดงถึงความลังเลของตลาด
- Hammer หรือ Shooting Star: บอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
การอ่านแท่งเทียนจึงต้องเข้าใจ “เจตนา” ที่อยู่เบื้องหลังแต่ละรูปแบบด้วย
จากญี่ปุ่นสู่เวทีโลก
แม้กราฟแท่งเทียนจะถูกใช้ในญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ แต่โลกตะวันตกเพิ่งเริ่มรู้จักมันในช่วงปี 1980s ผ่านการแนะนำของ Steve Nison นักวิเคราะห์เทคนิคชาวอเมริกัน
เขาเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อดัง “Japanese Candlestick Charting Techniques” ซึ่งทำให้โลกการเงินฝั่งตะวันตกเริ่มให้ความสนใจกับวิธีการวิเคราะห์แบบญี่ปุ่น และทำให้ Candlestick กลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้งานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
สรุป
กราฟแท่งเทียนไม่ใช่เพียงแค่รูปกราฟสวย ๆ ในโปรแกรมเทรด แต่เป็นเครื่องมือที่มี รากฐานทางประวัติศาสตร์ลึกซึ้ง และเชื่อมโยงกับจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาด การเข้าใจมันอย่างแท้จริงจึงช่วยให้คุณมองเห็นเบื้องหลังของการเคลื่อนไหวราคา และตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลยิ่งขึ้น
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
อ่านเพิ่มเติม

เด็กชาวไร่สู่นักเทรดระดับตำนาน เส้นทางชีวิต Jesse Livermore
Jesse Livermore เริ่มจากเด็กชาวไร่ไร้ทุน กลายเป็นหนึ่งในนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วอลล์สตรีท เขาอ่านเกมตลาดเหมือนอ่านใจคน และสร้างกำไรระดับ “รวยข้ามยุค” แม้ในยุคก่อนกราฟแท่งเทียนหรือ Forex แนวคิดของเขาเรื่องจิตวิทยาตลาด วินัย และการบริหารความเสี่ยงด้วย Stop Loss ยังคงถูกนำมาใช้ในตลาด Forex ทุกยุค Livermore สอนให้เทรดเดอร์เข้าใจว่า ตลาดขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล ความสำเร็จมาจากการสังเกตราคา อ่านสัญญาณตลาด และพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่โชคหรือดวงเพียงอย่างเดียว.

เสริมพลังด้วยความรู้ ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน: โครงการให้ความรู้แก่นักลงทุน
กิจกรรมโครงการให้ความรู้แก่นักลงทุน

Headway เหมาะกับคนไทยไหม? รวมเสียงจากผู้ใช้จริง โบรกหน้าใหม่ใช่สำหรับเราไหม
รีวิวโบรกเกอร์

ไม่รู้เวลาเปิด-ปิดตลาด Forex = เสี่ยงพลาดโอกาส! มือใหม่ต้องอ่าน
การรู้ว่า ตลาด Forex ปิดกี่โมง ไม่ใช่แค่ข้อมูลพื้นฐาน แต่คือปัจจัยสำคัญที่กำหนดจังหวะและโอกาสในการเทรด บทความนี้อธิบายเวลาเปิด-ปิดของ 4 ตลาดหลักทั่วโลก ได้แก่ ซิดนีย์ โตเกียว ลอนดอน และนิวยอร์ก พร้อมชี้ว่าช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กซ้อนกันคือช่วงที่ความผันผวนสูงสุด เหมาะกับการเทรดคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD การเข้าใจช่วงเวลาตลาดช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์ได้แม่นยำ ลดความเสี่ยง และใช้จังหวะตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดไทยที่ต้องปรับเวลาเทรดให้เหมาะกับสภาพตลาดโลก
WikiFX โบรกเกอร์
EC Markets
InteractiveBrokers
FOREX.com
XM
JustMarkets
IC Markets Global
EC Markets
InteractiveBrokers
FOREX.com
XM
JustMarkets
IC Markets Global
WikiFX โบรกเกอร์
EC Markets
InteractiveBrokers
FOREX.com
XM
JustMarkets
IC Markets Global
EC Markets
InteractiveBrokers
FOREX.com
XM
JustMarkets
IC Markets Global
